ทั่วไป
-
สุขเพราะคุยกับความเงียบ
คนเรามักมีทัศนคติเชิงลบกับความเงียบ ทำให้เวลาส่วนใหญ่ของการใช้ชีวิตโลดแล่นอยู่ท่ามกลางสิ่งเร้ารอบตัวที่จะพาให้เราหลุดออกจากความเงียบโดยเฉพาะสารพันเรื่องราวที่ส่งผ่านมือถือล้วนแล้วแต่เป็นตัวพรากความเงียบไปจากเราอย่างไร้ขีดจำกัด ความเป็นไปแบบนั้นส่งผลกระทบมากมายต่อการดำเนินชีวิตโดยที่เราไม่รู้ตัว การอยู่กับความเงียบไม่ได้หมายความว่าเรากำลังเผชิญกับความเหงา ในทุก ๆ วันที่เราเต้นตามสิ่งเร้าภายนอกทำให้เราเกิดความอยากไม่รู้จักจบสิ้น ยิ่งอยากมากก็ต้องพยายามลงมือไปไขว่คว้าเอามาอย่างเต็มกำลัง พุ่งไปข้างหน้า และโฟกัสในสิ่งที่เป็นเป้าหมายนั้นอย่างมุ่งมั่นโดยไม่ได้สนใจรายละเอียดระหว่างทาง ยิ่งอยากวิ่งหนีห่างจากตัวเอง เราจะหูดับ ตาบอดกับทุกเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยที่จะทำให้เราได้มาซึ่งสิ่งที่อยากได้นั้น และเมื่อเราได้มันมาดั่งใจแล้วก็จะยินดีพอใจกับมันได้สักพัก จากนั้นเราจะวิ่งวุ่น ทะยานอยากกับสิ่งเร้าอื่นต่อไป วนไปแบบนี้ร่ำไปไม่จบสิ้น นั่นเพราะเราไม่เคยอนุญาตให้ตัวเองได้ทำความรู้จักกับความมหัศจรรย์ของความเงียบเลย ในช่วงที่ความวุ่นวายเดินทางไปถึงขีดสุด ลองดูสักวันที่จะหันหลังให้กับมือถือ และวิถีความเคยชินเดิมๆ เริ่มจากเคลียร์ตัวเองจากการงานให้เรียบร้อย แล้วออกเดินทางไปไหนสักแห่งที่ห่างผู้คนและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่แห่งนั้นขอให้ปลอดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ไม่มีไฟฟ้าใช้ หากจะต้องเจอใครข้างหน้าขอให้เป็นคนที่เราไม่รู้จักและเจอเท่าที่จำเป็นเท่านั้นโดยให้มีระยะเวลานานพอสมควร เช่น 7 วันขึ้นไป เราจะพาตัวเองไปทำความรู้จักกับความเงียบ หยุดต้อนรับสิ่งเร้าที่คนอื่นยัดเยียดมาให้เรา หยุดวิ่งตามความต้องการของคนอื่นสักพัก เมื่อไม่มีตัวกระตุ้นความสนใจทั้งหมดจะพุ่งกลับมาที่ตัวเอง ได้สังเกตลมหายใจ ได้สำรวจความรู้สึกนึกคิดที่เป็นของตัวเราแท้ ๆ แรก ๆจะรู้สึกว้าวุ่น หงุดหงิดงุ่นง่านที่ไม่สามารถทำในสิ่งที่เคยชินแต่เดิมได้ สักพักใจและกายเราจะค่อย ๆ นิ่ง เริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเอง อย่ากลัวความเงียบ อย่ากลัวที่จะหยุด และอยู่กับตัวเอง ความเงียบไม่ใช่ขุมนรกแต่คือสรวงสวรรค์ที่รอการไปถึงไม่ว่าคุณมีภารกิจเยอะมากแค่ไหน หรือแม้ว่าคุณจะขาดสังคมไม่ได้ ก็อยากให้กล้าหาญที่จะพาตัวเองออกมากักตัวพูดคุยกับความเงียบสักครั้ง การเปิดโอกาสให้ตัวเองได้คุยกับความเงียบอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เกิดสมดุลในการใช้ชีวิต เราจะมีความสุขมากขึ้น สุขที่รู้จักตัวเอง สุขที่ได้ใช้ชีวิตตามที่หัวใจเรียกร้องอย่างแท้จริง
-
แดด กับ 8 ประโยชน์ต่อร่างกาย
เราคงจะคุ้นชินกับอันตรายจากแสงแดดโดยเฉพาะการทำลายความงามทางผิวพรรณ และการก่อให้เกิดโรคร้ายที่ทำลายสุขภาพมากมาย และด้วยรูปแบบการทำงาน พฤติกรรมการใช้ชีวิต และค่านิยมผิดๆเรื่องสีผิวที่ต้องขาวใสทำให้คนไทยมองแสงแดดเป็นศัตรูร้ายกาจที่ต้องพากันหลีกเลี่ยง แต่ในอีกด้านหนึ่งการสัมผัสแสงแดดในเวลาที่เหมาะสม คือ แดดเช้าช่วงเวลาก่อน 9.00 น. และแดดบ่ายหลัง 16.00 น. เราสามารถรับประโยชน์จากแสงแดดได้อย่างเต็มที่เช่นกัน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายจะได้รับวิตามินดีอย่างเต็มที่ รังสียูวีบีในแดดจะกระตุ้นให้เกิดการสังเคราะห์วิตามินดีใต้ผิวหนัง ซึ่งร่างกายควรมีวิตามินชนิดนี้ 30 ng/mL และไม่ต่ำกว่า 20 ng/mL(ขาดวิตามินดี) เราได้ประโยชน์จากแดดอย่างไรบ้าง มาดูกัน สดชื่น อารมณ์แจ่มใส ไม่เครียด เมื่อได้สัมผัสแดดอ่อนยามเช้า-เย็น พร้อมการออกกำลังกายจะทำให้เอ็นดอร์ฟินหลั่งเต็มที่ ช่วยให้สดชื่น แจ่มใส แสงแดดยังช่วยกระตุ้นการสร้างสารเซโรโทนิน ที่ช่วยทำให้เราใจเย็น คลายเครียด ลงได้ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน เพราะแดดช่วยทำให้การดูดซึมแคลเซียมในร่างกายดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการโรคซึมเศร้า คนที่เป็นโรคซึมเศร้ามักชอบเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องตามลำพัง ขาดการสัมผัสแสงแดดอย่างเหมาะสม การพาออกมาออกกำลังกายกลางแจ้งจะช่วยบรรเทาอาการได้มากและได้ผลดีกว่าการออกกำลังกายในร่ม ช่วยสร้างภูมิต้านทาน โดยทำงานคู่กับเซลล์เม็ดเลือดขาว ส่งผลให้การตรวจจับสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายเป็นการสร้างภูมิทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ป่วยง่าย ป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ การสัมผัสแดดอ่อน มีส่วนช่วยป้องกัน เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งรังไข่ มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น แต่หากแดดจัดเกินไปอาจนำสู่ปัญหามะเร็งโรคผิวหนังได้เช่นกัน ช่วยลดความอ้วน แดดช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญในร่างกาย ช่วยลดไขมันส่วนเกิน ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย จึงไม่แปลกว่าทำไมจึงถ่ายง่ายหลังออกกำลังกายกลางแจ้งตอนเช้า กระหายน้ำมากขึ้น การได้รับแสงแดดสร้างความร้อนให้เกิดขึ้นในร่างกาย ทำให้เกิดความกระหาย อยากดื่มน้ำเป็นการกระตุ้นให้ดื่มน้ำเปล่ามากขึ้นทางอ้อมด้วย ช่วยให้หลับสบาย เดินเล่น หรือออกกำลังกายเบาๆ รับแดดอ่อนช่วงเย็นช่วยสร้างฮอร์โมน เมลาโทนิน (Melatonin) ที่ผลิตตอนเราหลับ จะทำให้หลับสบายขึ้นน่าจะเป็นตัวช่วยของคนที่เป็นโรคนอนไม่หลับได้ดี จัดเวลามาออกแดด อย่ารังเกียจแดดเพียงเพราะทำให้ผิวหมองคล้ำ หากเราสัมผัสแดดอย่างเข้าใจเราจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เพราะแสงแดด คือ ตัวช่วยสร้างสุขภาพดีโดยธรรมชาติ
-
ไอเดียแต่งบ้าน เติมชีวิตชีวาช่วงหน้าฝน
ช่วงฤดูมรสุมอากาศแปรปรวน อุณหภูมิร้อนรุ่มแผดเผาจากนั้นท้องฟ้ามืดครึ้มฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้บ้านดูมืดกว่าปกติ สภาพอากาศแบบนี้มีผลกระทบต่อจิตใจทำให้บรรยากาศหม่นหมองหดหู่อย่างบอกไม่ถูก เป็นเวลาเหมาะสำหรับไอเดียการตกแต่งเพิ่มบรรยากาศสดชื่นให้กับบ้าน ดูสบายตาจิตใจเบิกบานยิ่งขึ้น มีไอเดียตกแต่งบ้านเติมชีวิตชีวาในช่วงหน้าฝนมาฝากกัน ดังนี้ ตกแต่งกระถางหรือแจกันดอกไม้ ระเบียงหรือเฉลียงยื่นออกไปนอกตัวบ้าน ถ้าไม่มีหลังคาคลุมจะเป็นพื้นที่รับฝนเต็ม ๆ เหมาะสำหรับจัดวางกระถางต้นไม้สวย ๆ หรือเลือกขวดไวน์เก๋ ๆ จัดแจกันดอกไม้สวยงามเติมชีวิตชีวาทำให้บ้านสดชื่นขึ้น หรือเลือกใช้กระถางต้นไม้แบบแขวนใช้ตกแต่งพื้นที่ระเบียงขนาดเล็กได้ลงตัว เพิ่มเฟอร์นิเจอร์ให้ระเบียง ถ้าระเบียงมีหลังคากันแดดกันฝน แนะนำให้จัดชุดโต๊ะกาแฟ หรือโซฟาเล็ก ๆ เอนนอนเล่นเย็นสบาย เลือกวัสดุที่ทนฝนได้และไม่เป็นสนิม ถ้าระเบียงกว้างขวางเพียงพอ สามารถเลือกชิงช้าน่ารัก ๆ ไว้นั่งเล่นผ่อนคลายอารมณ์จากความเครียด เปลี่ยนผ้าม่านใหม่ แนะนำให้ตั้งเก้าอี้โยกหรือโซฟานั่งเล่นสักตัว พร้อมติดม่านหน้าต่างแบบสองชั้น ชั้นหนึ่งเป็นม่านบังตาหนาทึบสำหรับกันแสงแดด อีกชั้นเป็นผ้าม่านลินินสีพาสเทล หรือผ้าลูกไม้ที่บางให้แสงแดดส่องเข้ามาและยังช่วยระบายอากาศได้ด้วย ผ้าม่านโปร่งบางตกแต่งหน้าต่างอย่างมีสไตล์และหลีกเลี่ยงการทำให้ห้องมืดลง เวลาฝนตกรวบม่านบังตาไว้ เป็นมุมนั่งเล่นมองจากหน้าต่างในบ้านออกไปยังระเบียงปลดปล่อยอารมณ์ไปกับวิวสายฝนโปรยปรายนอกหน้าต่าง เพิ่มสีสันในห้องนั่งเล่น สภาพอากาศมืดครึ้มชวนให้หม่นหมอง แนะนำให้เลือกเฟอร์นิเจอร์และวัสดุตกแต่งบ้านที่มีสีสดใส เมื่อพูดถึงเฟอร์นิเจอร์ โซฟา โต๊ะกาแฟ ล้วนเป็นองค์ประกอบขนาดใหญ่ที่เป็นจุดเด่นของห้องนั่งเล่น แต่ถ้ามีงบประมาณจำกัดก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนโซฟาชุดใหญ่ เพียงเพิ่มหมอนอิง เบาะรองนั่ง พรมพื้น ผ้าม่าน แจกัน หรือกรอบรูปตกแต่งผนัง เน้นโทนสีสว่างสดใส เช่น สีเขียว สีเหลือง สีส้ม หรือสีชมพู ดูน่ารักสดใสสบายตา ลองครีเอทวิธีผสมผสานโซฟาสีเข้มตัดกับหมอนอิงสีพาสเทลตกแต่งเติมความอบอุ่นให้กับบ้านและเพิ่มความโรแมนติกทำให้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้น ทาสีประตูใหม่ หากไม่สามารถเปลี่ยนสีทาผนังทั้งห้องได้ เพียงทาสีประตูใหม่ให้เข้ากับบรรยากาศการตกแต่งห้องที่สดใสกว่าเดิม การเพิ่มองค์ประกอบการตกแต่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นอีกไอเดียที่ช่วยให้บ้านดูสดใสมีชีวิตชีวาต้อนรับฤดูมรสุม และไม่ทำให้กระเป๋าฉีกโดยไม่จำเป็น พรมเช็ดเท้าเป็นสิ่งจำเป็น เพิ่มพรมเช็ดเท้าที่ดูดซับน้ำได้ดีไว้บริเวณประตูบ้านเพื่อรับน้ำที่หยดจากเสื้อกันฝน ร่มที่เปียกโชก รวมถึงรองเท้าเปื้อนโคลน เพื่อให้พื้นบ้านสะอาดและแห้งเสมอ ไม่มีอะไรดีไปกว่าบ้านที่แห้งสะอาดและปราศจากกลิ่นอับชื้น แนะนำให้จุดเทียมหอมหรือสเปรย์อโรม่ากลิ่นอ่อน ๆ ที่ทำให้อากาศสดชื่น ช่วยรักษาสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย
-
เช็กก่อนสาย ! อาการตาแห้งจากการใช้คอมพิวเตอร์
ในยุคปัจจุบัน “คอมพิวเตอร์” เป็นอุปกรณ์สำนักงานที่มีความจำเป็นในการทำงานทุกภาคส่วน เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานได้ครอบคลุมมากที่สุด ทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังเผชิญกับปัญหาตาแห้งจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน โรคตาแห้งจากการใช้คอมพิวเตอร์มักจะมีอาการเหมือนมีฝุ่นเข้าตาอยู่ตลอดเวลา ตาแห้งและระคายเคืองตา รวมถึงแสบตาและมีน้ำตาไหลอยู่บ่อย ๆ โดยแนวทางการรักษาตาแห้ง มีดังนี้ หมั่นกะพริบตาบ่อย ๆ การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานในระยะใกล้จะทำให้จำนวนครั้งในการกะพริบตาน้อยลงกว่าการใช้สายตาปกติ เพื่อลดการระคายเคืองตาจากอาการตาแห้งจึงควรหมั่นกะพริบตาบ่อย ๆ ทุกครั้งที่รู้สึกตัว ใส่แว่นกันลม กันแดด ทุกครั้งที่ออกสู่ที่แจ้ง เพื่อลดการระเหยของน้ำในดวงตาควรใส่แว่นกันลม กันแดดทุกครั้งที่ออกไปนอกอาคาร ซึ่งการใส่แว่นกันแดด กันลมเป็นประจำไม่เพียงแต่ช่วยลดอาการระคายเคืองตาจากอาการตาแห้งแต่ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นต้อลม ต้อหินด้วย ไม่ใช้คอมในที่มืด การใช้คอมพิวเตอร์ในที่มืด หรือแสงสว่างไม่เพียงพอจะทำให้กล้ามเนื้อดวงตาอ่อนล้า ระคายเคืองและทำให้ตาแห้งในระยะยาว เพื่อลดความเสี่ยงจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ในที่มืด นอนหลับให้ได้ 6 – 8 ชั่วโมง การพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ต่อมน้ำตาผลิตน้ำตาได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรจึงทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ จึงควรพักผ่อนให้เพียงพอในทุกวัน ดื่มน้ำให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัว การดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 2 ลิตร ต่อวันเป็นเพียงการคำนวณปริมาณน้ำคร่าว ๆ แต่วิธีคำนวณปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละบุคคลสามารถคำนวณตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำได้ง่าย ๆ โดยการนำ (น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) x 2.2 x 30/2 = ปริมาณน้ำดื่ม (มิลลิลิตร)/วัน ตัวอย่าง น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม x 2.2 x 30/2 = 1,980 มิลลิลิตร หรือ 1.98 ลิตรต่อวัน เพิ่มความชุ่มชื้นด้วยน้ำตาเทียม หากพบว่ามีอาการตาแห้งบ่อยควรเลือกน้ำตาเทียมที่ไม่มีส่วนผสมของสารกันบูด เพราะสามารถหยอดเพิ่มความชุ่มชื้นได้บ่อยตามต้องการแต่หากอาการตาแห้งไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยสามารถเลือกใช้น้ำตาเทียมแบบมีสารกันบูดได้ โดยหยอด 4 – 6 ชั่วโมง/ครั้ง แต่ควรหยอดตาเกิน 4 – 6 ครั้งต่อวัน นอกจากนี้ไม่ควรหยอดตาด้วยน้ำตาเทียมที่มีส่วนผสมของเมนทอลเพราะจะทำให้เกิดอาการตาแห้งมากกว่าเดิม หากต้องการดูแลดวงตาก่อนที่จะเกิดอาการตาแห้งควรหมั่นกะพริบตาบ่อย ๆ และพักสายตาจากการจ้องจอทุก ๆ 2 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 – 10 นาทีต่อครั้งจะช่วยป้องกัน หรือลดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการตาแห้งได้
-
เลือกซื้ออาหารเสริมยังไงให้ปลอดภัยและไม่ถูกหลอก
จากสภาพการกินอยู่ในปัจจุบันของคนเรา โรคภัยไข้เจ็บมักจะมาเยี่ยมเยือนได้ง่าย ๆ ยิ่งสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่มีมลภาวะมากขึ้นทุกวัน ลำพังเพียงการดูแลรักษาสุขภาพด้วยการกินอาหารครบทั้งห้าหมู่ การออกกำลังกายและการนอนหลับพักผ่อน 8 ชั่วโมง อาจไม่เพียงพออีกต่อไป สิ่งที่ถูกนำเสนอเพื่อเป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพเพิ่มเติมมีชื่อเรียกว่า ‘อาหารเสริม’ หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จัดเป็นอาหารประเภทหนึ่งที่มีผู้ผลิตจำหน่ายจำนวนมาก ทำให้ผู้บริโภคอาจเกิดความสับสนและเข้าใจผิดในสรรพคุณได้ การเลือกอาหารเสริมให้ปลอดภัยและไม่ให้ถูกหลอก เราจึงต้องพิจารณาส่วนประกอบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1.อย่าดูแค่ว่ามีตรา อ.ย.หลายคนมีความเชื่อว่าการที่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวใดมีเครื่องหมาย อ.ย. ก็ถือว่าใช้ได้ ปลอดภัย ไม่อันตราย ข้อนี้ต้องบอกเลยว่า “ไม่ถูกต้อง” เหตุที่บอกว่าไม่ถูกต้องนั้นก็ด้วยมีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจำนวนมากที่ไม่ได้ขอ อ.ย.และอีกจำนวนมากเช่นกันที่ทำเลข อ.ย.ปลอมขึ้นมาหลอกผู้บริโภค เพราะฉะนั้นเราอย่าเพิ่งรีบวางใจ เมื่อเห็นเครื่องหมาย อ.ย.บนฉลาก เราควรนำเลข อ.ย. ดังกล่าวไปตรวจสอบกับเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเสียก่อนจะดีกว่า 2.เราจำเป็นต้องกินจริง ๆ หรือ?มีความจำเป็นหรือไม่? นับเป็นคำถามแรก ๆ ที่เราต้องคำนึงถึง การกินอาหารหรือยาใด ๆ เราควรกินเพราะร่างกายเราขาด หรือร่างกายของเราจำเป็นต้องได้รับการบำรุงเฉพาะสารอาหารบางชนิดโดยเฉพาะ ทางที่ดีเราควรขอคำแนะนำจากแพทย์ที่ทราบข้อมูลสุขภาพของเราว่าสามารถกินอาหารเสริมชนิดนั้น ๆ ได้ไหม ร่างกายเราขาดสารอาหารใดหรือเปล่า 3.ข้อควรระวังและผลข้างเคียงบนฉลากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะถูกกฎหมายควบคุมให้แสดงข้อห้ามและข้อควรระวังไว้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคที่อยู่ในภาวะที่ไม่เหมาะสมที่จะกินอาหารเสริมชนิดนี้ได้รับเข้าไปจนเกิดอันตราย ตรงนี้ต้องยอมรับว่าน้อยคนนักที่จะอ่าน แต่มันมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะสำหรับผู้บริโภคบางกลุ่มที่ถูกห้าม นั่นมาจากในส่วนผสมของผลิตภัณฑ์อาจมีสารที่ทำให้แพ้และเกิดอันตรายอย่างร้ายแรงตามมาได้ 4.ราคาสมเหตุสมผลอย่างที่บอกตอนต้นว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คือสินค้าในกลุ่มอาหารและไม่ใช่ยา ดังนั้นคุณค่าในระดับที่เป็นอาหารก็ควรเหมาะกับราคาด้วย นั่นคือ “ไม่แพงเกินไป” แต่ก็ไม่ควรจะราคาถูกเกินไปจนน่าแปลกใจเช่นกัน การเลือกเปรียบเทียบสินค้าชนิดเดียวกันก่อนตัดสินใจซื้อ จึงเป็นเรื่องที่เราควรทำอย่างยิ่ง 5.ซื้อในแหล่งที่น่าเชื่อถือเท่านั้นการเลือกซื้ออาหารเสริมก็เหมือนกับการเลือกซื้ออาหารรับประทาน เราควรเลือกซื้อจากสถานที่จำหน่ายหรือผู้จำหน่ายที่น่าไว้วางใจและตรวจสอบได้มากกว่าการซื้อกับใครก็ได้หรือร้านค้าใดก็ได้ เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นมาก็ยากที่จะหาผู้รับผิดชอบ การดูแลสุขภาพร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ เพราฉะนั้นการจะเลือกซื้อหาอะไรเพื่อบำรุงร่างกายจึงเป็นสิ่งที่เราควรมีความรอบคอบให้มาก ร่างกายเราจึงจะได้รับสิ่งที่ดีตามที่เราต้องการจริง ๆ
-
กาแฟมีผลดี-ผลเสียอย่างไร คอกาแฟต้องรู้
กาแฟกับสุขภาพไม่ใช่เรื่องไกลตัว เราเคยได้ยินว่ากาแฟมีสารคาเฟอีนที่มีผลเสียต่อสุขภาพ ดื่มกาแฟแล้วนอนไม่หลับ กระวนกระวาย ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ใจสั่น อาหารไม่ย่อย แต่ปัจจุบันมีข้อมูลขัดแย้งกันว่าการดื่มกาแฟมีทั้งประโยชน์และโทษต่อร่างกาย เรื่องที่คอกาแฟควรรู้มีดังนี้ 1.กระตุ้นสมองทำงานดีขึ้นทุกวันนี้ความเข้าใจที่มีต่อกาแฟเปลี่ยนแปลงไป ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพยอมรับว่ากาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ หลังจากดื่มกาแฟแล้ว สารคาเฟอีนถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดไปกระตุ้นสมองให้หลั่งฮอร์โมนโดพามีนและอะดรีนาลีน ซึ่งเตรียมพร้อมร่างกายให้ตื่นตัว มีพลังงานเต็มที่ อารมรณ์รับรู้ไว ความจำดีขึ้น มีสมาธิมากขึ้น ร่างกายและสมองตอบสนองรวดเร็ว สรุปแล้วการดื่มกาแฟทำให้ประสิทธิภาพของสมองดีขึ้น ดื่มกาแฟในเวลางานจะทำงานได้ดีขึ้น 2.เร่งการเผาผลาญไขมันกาแฟช่วยกระตุ้นร่างกายให้เพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันเพื่อเป้าหมายลดน้ำหนัก การดื่มกาแฟจะช่วยลดไขมันได้ง่ายขึ้น แต่ต้องดื่มกาแฟดำเท่านั้น ไม่เติมน้ำตาล นม หรือครีมเทียม ถือเป็นตัวช่วยลดความอ้วนที่ปลอดภัยอีกทางเลือกหนึ่ง 3.มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ ดวงตา และเส้นผมกาแฟอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กรดไขมัน สารกลุ่มไดเทอร์พีน และอื่น ๆ มีประโยชน์ต่อสุขภาพผิว สารต้านอนุมูลอิสระและฤทธิ์ต้านการอักเสบของคาเฟอีกช่วยต่อต้านริ้วรอยและป้องกันรังสียูวีบีได้ กาแฟมีกรดไลโนเลอิกช่วยรักษาสภาวะสมดุลของผิวหนัง ลดการอักเสบและรักษาบาดแผล ช่วยลดการอักเสบใต้ตา ความบวมและรอยแดง นอกจากนี้ยังมีมีฤทธิ์สลายไขมัน ช่วยลดเซลลูไลท์และกระชับผิว รวมทั้งเพิ่มการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น กาแฟมีคุณสมบัติต้านการอักเสบช่วยบรรเทาการอักเสบของรูขุมขน ทำให้เส้นผมหลุดร่วงน้อยลง ผมดกเงางามและมีน้ำหนัก 4.ป้องกันโรคเบาหวานเมล็ดกาแฟสดมีสารต้านอนุมูลอิสระเรียกว่า กรดคลอโรจีนิก ซึ่งช่วยยับยั้งการหลั่งอินซูลินมากเกินไป เมื่อดื่มกาแฟเป็นประจำยังลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 และปกป้องตับ ป้องกันภาวะตับแข็งได้ ในกรณีนี้มีผลเฉพาะการดื่มกาแฟที่ผสมเมล็ดกาแฟดิบและกาแฟคั่วเพื่อไม่ให้กรดคลอโรจีนิกสลายตัวด้วยความร้อนในกระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟนั่นเอง 5.ป้องกันอัลไซเมอร์, พาร์กินสันและโรคมะเร็งโรคอัลไซเมอร์เป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาทที่แป็นสาเหตุของภาวะสมองเสื่อม มักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ผลการศึกษาพบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์น้อยลง 65% และความเสี่ยงที่จะเป็นโรคพาร์กินสันลดลง 60% นอกจากนี้ยังลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับลดลง 40% และมะเร็งลำไส้ใหญ่น้อยลง 15% 6.ป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองกาแฟอาจส่งผลเสียต่อผู้ป่วยโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง ทำให้ใจสั่น กระวนกระวาย หงุดหงิด แต่ถ้าดื่มกาแฟเป็นประจำ ร่างกายคุ้นเคยกับคาเฟอีนแล้วหมดกังวลเรื่องนี้ไปได้ กาแฟลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง ดื่มกาแฟดำวันละหลายแก้วได้ไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องการนอนหลับ ไม่ควรดื่มกาแฟหลังบ่ายสองโมง โดยรวมแล้วการดื่มกาแฟมีประโยชน์ต่อสุขภาพและลดความเสี่ยงของโรคร้ายต่าง ๆ แนะนำให้ดื่มกาแฟไม่ใส่น้ำตาล นม หรือครีมเทียมจะดีที่สุด
-
แจก 5 กิจกรรมทำแก้เบื่อเมื่อต้องอยู่บ้านนาน
ถึงตอนนี้สถานการณ์โรคโควิด-19 จะดีขึ้นมาบ้าง แต่หลายคนก็ยังต้องใช้ชีวิตเหมือนปีที่ผ่านมาอยู่คือใช้เวลาอยู่ติดบ้านแทบจะตลอด 24 ชั่วโมง ทั้ง Work From Home ทั้ง Online Learning แต่รู้หรือเปล่าว่าการนั่งอยู่ที่เดิมเป็นเวลานาน ๆ โดยไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถหรือพักเบรกบ้างจะยิ่งทำให้ร่างกายล้าเข้าไปใหญ่ วิธีแก้ง่ายมากคือเราต้องเปลี่ยนกิจกรรมในระหว่างวันบ้าง นอกจากช่วยยืดเส้นยืดสายแล้วยังแก้เบื่อด้วยนะ มีกิจกรรมไหนน่าสนใจบ้างไปดูกันเลย 1.ปลูกต้นไม้ ช่วยเพิ่มสีสันให้ชีวิตแถมฟอกอากาศได้ด้วย อย่างพวกลิ้นมังกร เดหลี หรือเยอบีร่า ซึ่งเป็นต้นไม้ขนาดเล็กปลูกง่ายในกระถาง สามารถนำมาวางบนโต๊ะทำงานเวลาเครียด ๆ เงยหน้าขึ้นมองเห็นใบสวย ๆ ก็ช่วยให้ผ่อนคลายขึ้นได้ ปลูกไว้หลาย ๆ ต้น แล้วเอาไปประดับประดาตามมุมต่าง ๆ ของบ้าน จะเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือแขวนไว้ระแนงหน้าบ้านก็ช่วยเพิ่มสีสันให้บ้านสดใส และยังช่วยให้อากาศภายในบ้านบริสุทธิ์ขึ้นด้วย 2.ทำอาหารหรือขนมกินเอง ยุคนี้สมัยนี้มีเครื่องมือช่วยให้ทำอาหารง่ายและสะดวกขึ้นมากอย่างพวกพิซซ่าหรืออาหารเช้าง่าย ๆ ทำได้จากไมโครเวฟ ไม่ก็พวกอาหารคาวอย่าง หมูย่างนมสด หรือสเต็กปลาจากหม้อทอดไร้น้ำมันก็มีที่ช่วยให้บรรดาคนรักการทำอาหารทำเองได้สำเร็จง่ายขึ้น แถมยังไม่ต้องไปหาซื้อสูตรอาหารหรือขนมเป็นเล่ม ๆ ที่ไหนไกลด้วย แค่เปิด Youtube แล้วค่อย ๆ ทำตามแค่นี้ก็ได้แล้ว 3.เล่นเกมผ่อนคลายบ้างก็ได้ อย่าเพิ่งกลัวไปตามข่าวว่าเล่นแล้วเดี๋ยวติดจนไม่เป็นอันทำอะไร เพราะหากเล่นเกมแต่พอดี นอกจากช่วยให้ผ่อนคลายแล้ว ข้อดีของเกมยังมีอีกหลายข้อด้วย เช่น ช่วยพัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์เพราะต้องใช้เทคนิคหรือทริคฝ่าด่านเกมแต่ละขั้น ไม่ก็ช่วยด้านการส่งเสริมการทำงานได้เพราะเล่นเกมต้องมีการลองผิดลองถูกก็เหมือนกับชีวิตการทำงานที่ต้องมีการลองผิดลองถูกเพื่อหาวิธีที่ใช่ในการทำงานให้ราบรื่นขึ้น 4.พักเบรกด้วยการฟังเพลง คือกิจกรรมเบสิกที่สุดที่ช่วยแก้เบื่อหรือทำให้ผ่อนคลายได้ดี บางคนเปิดเพลงคลอระหว่างทำงานยิ่งช่วยเสริมให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยซ้ำเพราะจะไม่ได้กดดันตัวเองจนเกินไป แต่การฟังเพลงเหมือนกับการเปิดสมองให้โล่ง พอผ่อนคลายแล้วจะคิดจะทำอะไรก็เป็นระบบ และเป็นขั้นเป็นตอนมากขึ้นยังไงกันล่ะ 5.กิจกรรมเรียนออนไลน์กับหลักสูตรที่ชอบนอกจากเพิ่มทักษะให้ตัวเองได้ ยังได้รู้จักการสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นด้วย เพราะบางหลักสูตรก็เปิดสอนออนไลน์กันเป็นกลุ่มจึงทำให้รู้จักกันมากขึ้น เดี๋ยวนี้หลักสูตรออนไลน์สอนฟรีมีเพียบ บางหลักสูตรเรียนเสร็จได้ใบประกาศเอาไว้อวดอีกต่างหาก เป็นอย่างไรกันบ้างกับกิจกรรมแก้เบื่อและคลายเครียดที่เอามาฝากกัน บอกได้เลยว่าถ้าเอาไปทำตามแล้ว ชีวิตที่ต้องอยู่ติดบ้านก็จะไม่เฉาอีกต่อไป
-
แจก 5 เคล็ดลับ ทำอย่างไรให้เพจน่าสนใจ ฉบับแม่ค้ามือใหม่หัดขายของออนไลน์
สิ่งที่มีอิทธิพลต่อการขายสินค้าหรือบริการทางสื่อออนไลน์ก็คือทำให้เว็บเพจของร้านค้าเป็นที่น่าสนใจและจดจำ ซึ่งต้องยอมรับว่าบางทีก็ทำได้ไม่ง่ายเลยสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่ แต่วันนี้เราจะมาทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายด้วย 5 เคล็ดลับในการสร้างเพจร้านค้าให้เป็นที่น่าสนใจและจดจำกัน 1.ตั้งชื่อเพจให้โลกจำ เพราะชื่อเพจเป็นด่านแรกที่ใช้ดึงดูดตาหรือสะกิดใจนักท่องอินเทอร์เน็ตทั้งหลาย จึงควรใช้คำหรือคีย์เวิร์ดที่สะดุดตาหรือแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร แต่ก็ต้องให้สอดคล้องกับสินค้าหรือบริการของเราด้วย ไม่อย่างนั้นอาจเจอนักเลงคีย์บอร์ดถล่มคอมเม้นต์ในหน้าเพจของเราแบบเสีย ๆ หาย ๆ ได้ เช่น ขายเสื้อผ้ามือสองก็ให้ตั้งชื่อเพจทำนองขายเสื้อผ้ามือ 1 + 1 เป็นต้น และให้เพิ่มเติมเนื้อหาในเพจให้มีคำว่าเสื้อผ้ามือสองเพื่อให้ระบบทั้งของ Facebook และ Google นำไปทำดัชนีในระบบสืบค้นได้ถูกต้อง 2.หน้า About นั้นสำคัญ โดยต้องบอกอย่างละเอียดและชัดเจนว่าเพจของเราขายสินค้าหรือบริการอะไร หรือมีสิ่งดึงดูดใจอะไรที่โดดเด่นกว่าเพจของร้านอื่น การจะทำให้ข้อมูลในหน้า About นั่นน่าสนใจและน่าติดตาม จะต้องใช้คำที่กระชับ เข้าใจได้ง่าย และต้องเป็นคีย์เวิร์ดที่มีคนค้นหากันบ่อย ๆ เพื่อให้เพจของเราถูกค้นเจอได้ง่าย 3.งานดี คอนเทนต์งาม ส่วนประกอบที่สำคัญของเพจอีกเรื่องคือคอนเทนต์ที่เข้าใจง่ายและมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน เพื่อที่ผู้อ่านจะทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวแทนของร้านในการประชาสัมพันธ์หรือโปรโมทแทนเราด้วยการแชร์ส่งข้อมูลต่อ ๆ กันได้ เทคนิคที่ใช้ในการสร้างคอนเทนต์คืออธิบายถึงสินค้าหรือบริการของเราอย่างสั้น ๆ เข้าใจได้ง่าย และลูกค้าจะได้รับประโยชน์อย่างไร คล้ายกับการพูดขายของให้โดนใจ 4.งานฟรี งานลดโหดเหมือนโกรธใครมา ก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะไม่มีใครไม่ชอบของฟรีหรือของถูก หากเพจของเราจัดโปรโมชันได้โดนใจคนที่คลิกเข้ามาดู ก็จะเกิดการบอกต่อที่ทำให้คนเข้ามาเยี่ยมชมเพจมากขึ้น 5.กระตุ้นเพจอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกค้ารับทราบว่าร้านเรายังมีตัวตนอยู่ ทั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องโพสต์ขายของอย่างเดียว อาจจะมีการนำเสนอสาระความรู้ในตัวสินค้าหรือบริการของเราที่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้าก็ได้ สรุปคือเราต้องรู้จักหยิบฉวยโอกาสที่โลกออนไลน์กำลังเฟื่องฟูในการทำให้คนภายนอกรู้จักเรา ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีแต่การขายสินค้า อาจจะเป็นการโปรโมทความสามารถของเราในด้านอื่น ๆ ไปด้วย เช่น การออกแบบสื่อโฆษณา การเป็นไลฟ์โค้ชสอนด้านการลงทุน เป็นต้น เพราะทุกที่บนโลกออนไลน์สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการช่วยหารายได้ให้เราได้ทั้งหมด
-
ไขข้อข้องใจ ฮิกันบานะ ดอกไม้แห่งความตาย ที่งดงาม
หากเอ่ยถึงดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความโศกเศร้าและความตาย ในแบบไทย ๆ ดอกซ่อนกลิ่นมักจะถูกนึกถึงเป็นอันดับต้น ๆ ด้วยกลิ่นหอม ที่สร้างบรรยากาศชวนขนลุก แต่สำหรับประเทศญี่ปุ่นดอก ฮิกันบานะ (Higanbana) ได้ถูกขนานนามว่าเป็นดอกไม้แห่งความตาย ที่ชาวญี่ปุ่นรู้จักและหวาดหวั่นในชื่อเสียงอันน่า สะพรึงของ ฮิกันบานะ ตลอดจนตำนานความเชื่อที่เล่าต่อ ๆ กันมา ซึ่งจะมีที่มาที่ไปอย่างไร จนทำให้ดอกฮิกันบานะกลายเป็นดอกไม้สวยสะพรึงตราบจนถึงทุกวันนี้ เรามีข้อมูลดี ๆ มาไขความกระจ่างให้ทราบกันค่ะ ฮิกันบานะ (Higanbana) หมายถึง ดอกไม้ที่บานในช่วงวันวสันตวิษุวัต รู้จักกันในชื่อ Red Spider Lily มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศจีนและเกาหลี เนื่องจากดอกฮิกันบานะ จะเบ่งบานในช่วงวันวสันตวิษุวัต ของฤดูใบไม้ร่วง คือฤดูกาลที่เวลากลางคืนและกลางวันยาวนานเท่ากัน ซึ่งชาวญี่ปุ่นเรียกช่วงนี้ว่า ฮิกัน โดยดอกฮิกันบานะจะบานอวดสีสันสดใสปีละ 2 ครั้ง ได้แก่ ช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของฤดูใบไม้ผลิ ประมาณวันที่21-23 มีนาคม) และสัปดาห์ที่ 3 ของฤดูใบไม้ร่วง ประมาณวันที่ 21-23 กันยายน) ด้วยความเชื่อว่าเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง กลางคืนจะกลืนกินแสงสว่างของเวลากลางวัน เหมือนกับความมืดมิดในโลกแห่งความตาย ดังนั้นชาวญี่ปุ่นจึงจัดเทศกาล O-Higan ขึ้น คล้ายกับเทศกาลเช็งเม้งของประเทศไทยที่ผู้คนในตระกูลเดียวกันจะเดินทางไปทำทำพิธีเคารพหลุมศพของบรรพบุรุษ ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ เช่นเดียวกับกุศโลบายในการปลูกดอกฮิกันบานะไว้รอบ ๆ สุสาน เพื่อป้องกันไม่ให้บรรดาสัตว์และแมลงมาทำลายหลุมศพนั่นเอง และด้วยธรรมชาติของดอกฮิกันบานะ ซึ่งจะทิ้งใบจนหมดต้นเมื่อดอกบานเต็มที่ จึงทำให้มันได้รับตำแหน่งดอกไม้แห่งการพลัดพรากไปครองอีกหนึ่งตำแหน่งด้วย แถมบางคนก็มโนไปอีกว่า สีแดงสดของดอกฮิกันบานะ ได้มาจากเลือดของซากศพที่ฝังอยู่ใต้ดินนั่นเอง ยิ่งฟังก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัว แต่ทว่าสิ่งเหล่านี้มีข้อพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ที่ช่วยไขความกระจ่างได้ว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร ด้วยทฤษฏีการป้องกันตัวตามปกติของดอกไม้ ธรรมชาติจึงมอบพิษสงไว้ให้ฮิกันบานะมากมาย เช่น ส่วนดอก เต็มไปด้วยสารพิษแอลคาลอยด์(alkaloids) ซึ่งหากรับประทานเข้าไปแล้วจะเกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน หรือบางรายหากได้รับในประมาณมากก็อาจมีอาการท้องร่วง ตัวสั่น น้ำลายฟูมปาก หรือถ้ามีอาการแพ้เฉียบพลันก็อาจถึงขั้นเป็นอัมพาตและเสียชีวิตเลยทีเดียว ซึ่งในอดีตยุคสมัยหนึ่ง ชาวบ้านที่ขาดแคลนอาหารได้นำดอกไม้ใบไม้ที่หาได้ตามทุ่งนาป่าเขามาเป็นอาหาร หนึ่งในนั้นคือดอกฮิกันบานะ จนกลายเป็นโศกนาฏกรรม และเป็นที่มาอีกประการหนึ่งของการปลูกดอก ฮิกันบานะเพื่อไว้อาลัยให้แก่ผู้ตายอีกด้วยนอกจากดอกฮิกันบานะสีแดงที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว ฮิกันบานะยังมีอีก 2 สีซึ่งมีความหมายที่แตกต่างกันไปดังนี้ สีแดง หมายถึง ความคลั่งไคล้ ฉันคิดถึงเพียงคุณเท่านั้น การกลับมาพบกันใหม่ และการยอมแพ้ สีขาว หมายถึง ฉันคิดถึงคุณ และเฝ้ารอวันที่เราจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง สีเหลือง หมายถึง ความคิดถึง หรือหวนระลึกความหลัง ทราบข้อเท็จจริงแบบนี้แล้ว หากได้มีโอกาสได้พบเจอดอกฮิกันบานะ ดอกไม้แห่งความตายที่แสนงดงามนี้…
-
6 ทริคที่คุณควรรู้ เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับสมาชิกในครอบครัว
การเพิ่มความอบอุ่นในครอบครัวมีความสำคัญ เนื่องจากถ้าครอบครัวไหนที่มีแต่ปัญหาหรือมีเรื่องกลุ้มใจตลอดเวลา จนสมาชิกในครอบครัวต้องหลบไปอยู่นอกบ้าน บางทีคนเป็นลูกจะเกิดปัญหาไปด้วยก็ได้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีทริคที่คุณควรรู้เพื่อเพิ่มความอบอุ่น ความรักและความหวังดี ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุน ปรึกษาหารือ และการอยู่เคียงข้างให้กับสมาชิกในครอบครัว เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวมีความสุข ทริคที่ 1 ยอมรับความแตกต่างในเรื่องของวัย บางครอบครัวมีสมาชิกเพียง พ่อ แม่และลูก และบางครอบครัวประกอบด้วยสมาชิกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่ ลูก ซึ่งมีความแตกต่างในเรื่องของวัย มุมมองและความเข้าใจ เช่น หลานไปคุยกับคุณปู่ คุณย่าหรือคุณตา คุณยาย แต่ต่างคนต่างสื่อสารไม่เข้าใจกันเพราะคำพูดของหลานเป็นการใช้ศัพท์ใหม่ซึ่งเป็นเทรนด์สำหรับวัยรุ่น แสดงให้เห็นว่าสมาชิกในครอบครัวควรมีการยอมรับความแตกต่าง ไม่คาดหวังว่าสมาชิกแต่ละคนจะต้องเหมือนกันเสมอไป ถ้าความแตกต่างนั้นเป็นสิ่งที่ไม่รบกวนกันและกัน ก็ควรทำความเข้าใจและยอมรับเพื่อให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ทริคที่ 2 แยกเรื่องงานกับเรื่องครอบครัว หากมีความเครียดเกี่ยวกับความรับผิดชอบด้านการงาน ควรรู้เท่าทันตัวเองว่า ไม่ควรนำความเครียดกลับมาที่บ้าน เพราะสมาชิกในครอบครัวสังเกตได้ว่ามีความกังวลใจ ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดบรรยากาศไม่ค่อยดีเกิดขึ้นในครอบครัว เพราะฉะนั้น ควรทำงานให้จบในเวลาทำงาน เมื่อกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาของครอบครัวแล้ว ไม่นำเรื่องงานมาคิดอีก ทริคที่ 3 มองเห็นความสำคัญของสมาชิกในครอบครัว กรณีที่เป็นผู้นำครอบครัวซึ่งเป็นคนที่หารายได้เข้ามาจุนเจือครอบครัว บางคนรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญมาก ทำให้เวลาอยากได้อะไร ก็ต้องให้สมาชิกในครอบครัวทำตามความต้องการของตัวเอง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้ครอบครัวไม่มีความสุขได้ เพราะฉะนั้น ควรมองเห็นความสำคัญของทุกคนในบ้าน และให้ทุกคนมีอิสระในการดำเนินชีวิตไปตามบทบาทและหน้าที่ของตนเอง ทริคที่ 4 กำลังใจซึ่งกันและกัน ความเป็นกันเองในครอบครัว บางครั้งอาจจะละเลยในความอ่อนโยน ทางที่ดีควรมีการให้เกียรติหรือให้กำลังใจกับสมาชิกในครอบครัวเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกดี มีคุณค่า ก็จะช่วยเสริมความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้น แต่ก็มีข้อยกเว้นบางอย่าง เช่น เมื่อลูกได้ทำอะไรผิด พ่อแม่ควรมีการแนะนำด้วยเหตุผล เพราะลูกอาจทำผิดโดยไม่รู้ตัวและจะทำผิดอยู่เรื่อย ๆ ได้ ทริคที่ 5 ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ร่วมกัน การทำกิจกรรมสร้างสรรค์ร่วมกันก็เป็นอีกหนึ่งทริคที่ช่วยเพิ่มความอบอุ่นได้ เช่น การออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง ปิกนิกหรือท่องเที่ยว ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะนำมาความสุข สร้างเสียงหัวเราะหรือแสดงความรัก ในทางตรงข้ามถ้าครอบครัวไหนไม่เคยทำกิจกรรมร่วมกันเลย ก็จะส่งผลทำให้สมาชิกในครอบครัวไม่อยากอยู่ด้วยกัน เพราะไม่มีความสุขนั่นเอง ทริคที่ 6 การแบ่งปันหรือมีน้ำใจต่อกัน สมาชิกในครอบครัวเมื่ออยู่ด้วยกันแล้ว ให้รู้สึกว่าพึ่งกันได้ ไม่ใช่ให้ฝ่ายหนึ่งคอยเป็นฝ่ายพึ่งพาอย่างเดียวหรืออีกฝ่ายพึ่งพาไม่ได้เลย เช่น ยามป่วยไข้ไม่สบาย ให้ช่วยคนละไม้คนละมือ ความรู้สึกอบอุ่นใจในครอบครัวก็จะเกิดขึ้น และสิ่งสำคัญที่ควรหลีกเลี่ยง คือ การดูถูกกัน เพราะต่อให้มีบุญคุณมากมายแค่ไหน ความสำนึกบุญคุณก็จะหายไปเกือบหมดได้ ทริคเพิ่มความอบอุ่นให้กับครอบครัวดังกล่าวข้างต้น ช่วยลดปัญหาเมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งมีการเจ็บปวดทางจิตใจจากข้างนอกบ้าน ก็จะลดความซึมเศร้าได้ เนื่องจากบ้านเป็นสถานที่เยียวยาบาดแผลเพื่อให้วันรุ่งขึ้นได้สู้หรือลุยกันต่อไป ดังนั้น หากใครอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น…
